วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โลกใต้ตา Ver.การิน


วริษา สุขกำเนิด (กระติ๊บ)
หากจะกล่าวถึงหนังสือแนวสยองขวัญที่ยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นแล้ว คงหนีไม่พ้นหนังสือเรื่อง การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์ ซึ่งเขียนโดย อัยย์ ดำเนินเรื่องโดย การิน เด็กหนุ่มผู้คลั่งไคล้ในศาสตร์มืด เพื่อต้องการก้าวผ่านความเป็นมนุษย์ และ ลัลธิมา เด็กสาวผู้มีญาณอาถรรพ์ติดตัวมา แต่ปรารถนาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีหลายแนวในเล่มเดียว ทั้งแฟนตาซี ระทึกขวัญ นักสืบ และปรัชญา ผสมกับความการที่ทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงรสชาติแห่งความดำมืด ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทยมาก จนกระทั่งถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆ
สำหรับการิน เรื่องผีและไสยศาสตร์จะเป็นสิ่งที่ขยายความถึงเด็กหนุ่มคนนี้ได้ดี แต่หากมองในอีกแง่ เขากับกล่าวถึงความเป็นมนุษย์มากกว่า และอาจอธิบายได้ชัดเจนกว่าด้วย
มนุษย์คืออะไร
จากการอ่านและวิเคราะเรื่องการินฯแล้วพบว่า มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตบนโลก ที่ไม่ใช่พืช ไม่ใช่สัตว์ และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอื่น เพราะมนุษย์นั้นมีความคิด ความรู้สึก ความปราถนา มีจินตนาการ และบังคับตัวเองได้
วันที่มีมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก ผู้นั้นได้มองเห็นสิ่งที่อยู่บนโลก ภูเขา ดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์ป่า และตัวเขาเอง เขากินและขับถ่าย หายใจเข้าและหายใจออก เขาถ่ายให้ต้นไม้แล้วต้นไม้ก็ออกผลให้เขา สัตว์ป่ากินพืชแล้วสัตว์อีกชนิดก็มากินกันเลื่อยๆ น้ำในแม่น้ำระเหยเป็นไอแล้วตกลงมาเป็นฝน นอกจากนี้เขายังเห็นต้นไม้ที่โตขึ้นแล้วค่อยๆตาย สัตว์ที่ตัวเล็กๆก็ค่อยๆโตขึ้นแล้วก็ตาย รวมทั้งเขาเองที่เคยเป็นเด็กและคงตายในอีกไม่ช้า ซึ่งเป็นข้อบังคับที่โยงใยเกี่ยวพันกันอย่าง
จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีมนุษย์เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งคน พวกเขาทำความรู้จัก แล้วรวมตัวกัน พวกเขาตั้งเป็นหมู่บ้าน ตั้งผู้นำที่จะดูแลผู้คนทั้งหมด พวกเขาสร้างทางในการแก้ปัญหาต่างๆที่เรียกว่าภูมิปัญญา พวกเขาแบ่งหน้าที่ของคนแต่ละคน มีครูที่ให้ความรู้ มีหมอที่รักษาโรค  มีทหารจับตาดูข้าศึก มีเกษตรกรที่ผลิตอาหาร พวกเขามีงาน ทำให้มีค่าตอบแทน จากการที่มนุษย์เคยอยู่คนเดียว ก็อยู่กันหลายๆคน ทำให้รู้จักกัน ให้เกียรติกัน และ มีข้อพึงปฏิบัติร่วมกัน
เวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับธรรมชาติว่า โลกขึ้นมาได้อย่างไร ลมเกิดจากอะไร ดาวเกิดจากอะไร ทะเลเกิดจากอะไร พวกเขาใช้จินตนาการ สร้างเทพเจ้า สร้างสัตว์ประหลาด สร้างวีรบุรุษ สร้างหญิงงาม จนเกิดเป็นตำนาน เนื่องจากมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ ธรรมชาติจึงสำคัญกับชีวิตมนุษย์มาก และบางอย่างก็ส่งผลเสียต่อมนุษย์เช่นกัน ทำให้เกิดความศรัทธาและเกรงกลัวต่อเทพเจ้า[ซึ่งก็คือธรรมชาตินั่นเอง] มีการทำความเคารพ สร้างวิหาร เซ่นไหว้สังเวย และอื่นๆแต่ผู้คนมีความสงสัยอีกว่า เราเกิดมาได้อย่างไร ทำไมเราต้องตาย ตายแล้วไปใหน ทำไมเราถึงมีทุกข์ จึงทำให้บางคนแสวงหาคำตอบเหล่านี้ นอกจากเขาจะหาคำตอบได้แล้วยังบอกแนวทางในการดำเนินชีวิต และปรัชญาให้แก่ผู้คนมากมาย จนกระทั่งมีผู้คนศรัทธาและตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มความเชื่อซึ่งมีจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน ที่เรียกว่าศาสนาหรือลัทธินั่นเอง
มนุษย์มองโลกอย่างไร
เพราะผู้คนมีความรู้สึกรักใคร่และเกลียดชังในสิ่งต่างๆ จึงปราถนาที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นๆตามความต้องการของตนเอง บางอย่างก็เป็นไปตามปราถนาได้ แต่บางคำปรารถนานั้นมิอาจเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ ทำให้เขาเกิดความทุกข์ และ ความปรารถนามากกว่านั้น คือแหกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จึงสร้างพิธีกรรม การสาปแช่ง การลองของ การสร้างความทรมาน และอื่นๆ เพื่อแรกเปลี่ยนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ความงาม ความรัก ความทรมานและทุกๆอย่าง ที่ทำให้ความทุกข์หายไปแล้วความสุขมาแทนที่ ที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นแบบนี้  ซึ่งหากการกระทำนี้ไม่สำเร็จผลของการกระทำจะย้อนคืนอย่างมหาสาร
ในทางกลับกัน การรู้สึกรักใคร่หรือเกลียดชังจนเกิดความปรารถนาในการขัดต่อหลักธรรมชาติก็ไม่ใช่วิธีเดียวในการทำให้ความทุกข์หายไป สภาวะหยุดนิ่งคือ สภาวะที่ไม่มีความรักใคร่เกลียดชัง สาเหตุของความปรารถนาและความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสุข และ ว่างเปล่า สภาวะนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แต่จะเป็นเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จะสภาวะหยุดนิ่งมิได้สลายทุกข์ด้วยสร้างสิ่งที่เหนือธรรมชาติ แต่เป็นการสลายทุกข์ด้วยการเข้าสู่ธรรมชาติ
จากการอ่านและวิเคราะหนังสือเรื่องการินแล้ว มนุษย์ไม่ได้มีโลกแค่คำว่าโลก แต่ยังมีโลกอีกใบหนึ่งที่ซ้อนกันอยู่บนโลกได้แก่
1.      ธรรมชาติ การดำเนินไปของสิ่งต่างๆเป็นโยงใยเชื่อมกัน และเป็นข้อบังคับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2.      สังคม การรวมตัวของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการพึ่งพา ความรู้ วัฒนธรรม อาชีพ และข้อพึงปฏิบัติต่อกัน
3.      ความเชื่อ การตอบคำถามคำถามกับธรรมชาติ ความศรัทธา ความเกรงกลัว และหลักความคิด
4.      อาถรรพ์และความชั่วร้าย ความปรารถนาในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และพิธีกรรมที่แหกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
5.      สภาวะหยุดนิ่ง ความว่างเปล่า ไม่มีทุกข์สุข และความปราถนา
คำว่า “สีดำ” ของการินอาจจะไม่ได้หมายถึง ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงความไม่รู้ของมนุษย์  เพราะมนุษย์มีมากกว่าประสาทสัมผัส มีจิตใจ ความคิด และจินตนาการ จึงทำให้สิ่งที่มนุษย์มองนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึก หรือใส่ความรู้สึกลงไปในสิ่งที่เห็น ทั้งวัดได้ร้อน หนาว เสียงดัง ยาวและวัดไม่ได้สวย น่ากลัว อร่อยดังนั้นโลกของมนุษย์จึงเป็นโลกที่มากกว่าสิ่งที่เห็น จึงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งใดจิงสิ่งใดเท็จ
เราเคยตั้งคำถามไหมว่า สิ่งที่เราเห็นมันเป็นสิ่งที่จริงหรือเปล่า สิ่งที่เราได้ยินมันเป็นสิ่งที่จริงรึเปล่า สิ่งที่เราแตะมันคือสิ่งที่จริงรึเปล่า เราแน่ใจรึเปล่าว่าโลกที่เราเดินอยู่ไม่ใช่โลกที่หัวเราสร้างขึ้น หรือโลกสมมติ
สิ่งใดๆที่เป็นใบบนโลกนี้ เป็นไปตามธรรมชาติหรือเพราะมนุษย์รับรู้ แมวตัวหนึ่งถูกขังอยู่ในกล่องทึบและมันก็ร้องเหมียวๆอย่างน่าสงสาร แต่ทว่าไม่มีใครได้ยินมันและในกล่องใบนี้เอง ก็บรรจุเครื่องมือโหดร้ายชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วย โถแก้วบรรจุแก๊สพิษไซยานายที่ปิดจุกไว้หนึ่งใบ บนโถแก้วใบนี้มีค้อนที่ตั้งรออยู่ ซึ่งค้อนมีกลไกที่มีโอกาสทำให้ขวดยาพิษแตก50% แล้วยาพิษจะระเหยออกมาให้แมวดม แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแมวตายรึยังหากไม่เปิดออกมาดู
อย่างที่กล่าวไว้ว่า สิ่งใดๆที่เป็นใบบนโลกนี้ เป็นไปตามธรรมชาติหรือเพราะมนุษย์รับรู้ หากเป็นไปเพราะมนุษย์รับรู้  แสดงว่าสิ่งที่มนุษย์รับรู้คือสิ่งที่อยู่บนโลก สิ่งที่มนุษย์รู้ก็ยังไม่มีบนโลก ใช่หรือไม่ ก็เหมือนคำถามที่ตั้งไว้ เราแน่ใจรึเปล่าว่าโลกที่เราเดินอยู่ไม่ใช่โลกที่หัวเราสร้างขึ้น หรือโลกสมมติ
แม้การินจะเป็นนิยายที่เป็นแนวแฟนตาซีสยองขวัญ ทว่ามันก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะการินเล่มนี้ ต้องการสื่อถึงมุมมองมิติต่างๆของมนุษย์ และโลกของมนุษย์ ในสิ่งที่เราเองอาจจะยังไม่เคยรับรู้  ทั้งที่จิตใจเรารู้ดี และยังทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่เป็นขึ้นอยู่กับสิ่งที่มอง
ดังนั้นเราจะเปลี่ยนโลกจากการมองของเราได้ไหมนะ

วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผู้นำกับวันที่ฉันไม่แพ้ (ใจตนเอง)


ผู้นำกับวันที่ฉันไม่แพ้ (ใจตนเอง)
วริษา สุขกำเนิด
คำว่าผู้นำในความคิดของฉัน หมายถึง ผู้ที่คอยควบคุมดูแลทุกคน จัดการปัญหา นำให้ทุกคนไปสู่การพัฒนาไปสู่ชัยชนะ ถ้ามีกลุ่มคนอยู่กลุ่มหนึ่ง หนึ่งในกลุ่มนั้นจะต้องมาเป็นผู้นำที่ทำให้กลุ่มไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ หากไม่มีผู้นำ ก็จะทำให้ไม่เป็นระบบและขาดการพัฒนาไปชัยชนะที่ตั้งเอาไว้ เหลือก็คือแพ้นั่นเอง ผู้นำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการทำงาน
แต่สำหรับฉัน “ผู้นำ”มันเป็นคำที่น่ากลัวเอามากๆ เมื่อภารกิจการนำต้องมาตกอยู่ที่ตัวเอง แม้จะดูดีมีความหมาย แต่เมื่อลิ้มลองอาจตายไม่สวย คำนี้แหละคือคำที่ทำให้ฉันแทบบ้า
ฉันเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยชอบยุ่งกับใคร พูดไม่ค่อยเก่ง จะคุยกับเพื่อนสนิทได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นงานที่เหมาะกับฉันน่าจะเป็นงานเดี่ยวมากกว่า ฉันคิดว่างานกลุ่มเป็นงานที่วุ่นวาย ซับซ้อน และ จัดการยาก แตกต่างจากงานเดี่ยว ดังนั้นคุณภาพของงานเดี่ยวที่ฉันทำจึงออกมาดีกว่า
ทว่าคนที่เห็นผลงานจากงานเดี่ยวของฉันก็ต่างยกให้ฉันดูแลงานกลุ่ม พูดง่ายๆก็คือมาเป็นหัวหน้านั่นเอง แต่เพราะฉันทำงานกลุ่มไม่เป็น งานกลุ่มบางอย่างจึงออกมาไม่ดีนัก งานกลุ่มที่ฉันทำจะเป็นงานกลุ่มแบบเดี่ยว[ฉันทำคนเดียว] บางงานที่ฉันทำคนเดียวได้ก็จะขอมาทำเช่น รายงาน แต่บางอย่างที่ทำคนเดียวไม่ได้เช่น ละคร ก็ต้องช่วยกัน และยิ่งทำงานกับคนเยอะมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปวดหัวมากเท่านั้น งานที่ฉันรักคือ การก้าวยาวๆไปคนเดียว ไม่ใช่ จับมือกันค่อยๆก้าวแบบต้องรอคนอื่น
ฉันเป็นคนขี้กังวล ขี้กลัว และเครียดง่าย ฉันพยายามจะลืมความทรงจำอันปวดร้าว ที่วันนั้นฉันเป็นผู้นำที่แย่ ทำให้พวกเราเกือบไม่รอด โชคดีที่มีคนมาแก้สถานะการณ์ได้ แม้เหตุการณ์จะจบไปแล้ว แต่ความผิดก็ติดตัวฉันจนแก้ไม่ออก ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่มันดูเหมือนจะยิ่งไม่ลืม
บางทีเราควรจะคิดเรื่องที่เรามีความรู้สึกดีๆกับมัน ฉันเดินเข้าไปในห้องของฉัน แล้วมองไปยังตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือประวัติศาสตร์ ฉันรู้สึกว่าหนังสือพยายามตอกย้ำว่าแกมันเป็นผู้นำที่ไม่ดี….แกมันทำกลุ่มเกือบล่ม ….แกมัน…..” ทั้งสามก๊ก ซุนวู AEC และอื่นๆ ฉันรู้สึกว่า ประวัติศาสตร์ทำให้เราสัมผัสถึงความพ่ายแพ้ในอดีต เหมือนฉันที่เป็นอยู่ และการเลือกของฉันจบลงที่หนังสือท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม
เมื่ออ่านจบ ก็รู้สึกอยากติดตามเรื่องเกี่ยวกับประเทศที่น่าสนใจอย่างประเทศเวียดนามมากมาย เพราะว่าเป็นประเทศที่ไม่หรูหรา แต่งดงาม แต่เรื่องของเวียดนามอย่างหนึ่งที่ให้ฉันสนใจค้นคว้าต่อคือ โฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่ไกล้ๆชื่อวีรบุรุษ กู้ชาติ อาเซียนก็ถูกหยิบขึ้นมาโดยฉัน จากนั้นฉันเลือกเปิดอ่านของลุงโฮคนแรก
โฮจิมินห์เกิดเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2433  ตอนบนของเวียดนาม
เมื่ออายุ11ปี โฮได้ย้ายจากเวียดนามไปเป็นพ่อครัวในประเทศฝรั่งเศส ประเทศซึ่งเป็นเจ้าอาณานิคมของเวียดนามในขณะนั้น และได้ศึกษาเรียนต่อที่นั่น ต่อมาโฮก็ได้ย้ายจากฝรั่งเศสไปสหรัฐอเมริกาและอังกฤษตามลำดับ หลังจากนั้นโฮได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนซึ่งเมื่อรัฐบาลก๊กมินตั๋งของเจียงไคเช็คเริ่มการปราบปรามคอมมิวนิสต์นั้น โฮก็ได้หลบหนีจากจีนมายังจังหวัดนครพนม ประเทศไทยโดยได้บวชเป็นพระภิกษุ โดยใช้ชื่อว่า "ลุงโฮ"
โฮจิมินห์เดินทางกลับมาเวียดนามอีกครั้งในปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) ด้วยการที่รวบรวมชาวเวียดนามส่วนใหญ่แล้วตั้งเป็นฝ่ายเวียดมินห์เตรียมแผนที่จะประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสให้ประชาชนชาวเวียดนาม
โฮจิมินห์ประกาศจัดตั้งคอมมิวนิสต์เวียดนามหลังจากจักรพรรดิบ๋าวได๋ จักรพรรดิเวียดนามพระองค์สุดท้ายประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2497 เวียดนามก็ได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ฝรั่งเศสพ่ายแพ้ในยุทธการเดียนเบียนฟู

ในปี พ.ศ. 2502 สงครามเวียดนามได้อุบัติขึ้น สหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตรอื่น ๆ ก็ได้เข้าร่วมสงครามด้วย แต่ผลสุดท้ายเวียดนามเหนือเป็นฝ่ายชนะในปี พ.ศ. 2518 แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่โฮจิมินห์มิได้อยู่ถึงการชื่นชมชัยชนะในปี พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุที่ว่าเขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2512 ที่บ้านในกรุงฮานอย
ฉันรู้สึกซาบซึ้งและยินดีกับลุงโฮและคนเวียดนามมาก ลุงโฮเป็นคนตัวเล็กคนหนึ่งที่พยายามก้าวปีนป่ายขึ้นไปผูกธงเวียดนามแม้ว่าจะตกลงมากี่ครั้งก็ตาม หากไม่มีท่านก็คงไม่มีเวียดนามในวันนี้ ประวัติท่านเป็นที่น่าจดจำเอามากๆ คงจะดีหากมีคนนำไปทำเป็นภาพยนต์ และคงจะดีไม่น้อยหากนำท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต คิดไปมาก็หลับจนได้
ตื่นมาอีกครั้งในตอนเช้า ฉันหยิบหนังสือเล่มเดิมขึ้นมาเปิดดู พลิกไปมาก็หยุดตรงหน้าของ ลีกวนยู พอดี ที่ฉันพอรู้คนนี้ก็เป็นผู้นำคนหนึ่งของสิงค์โปร์ แต่ก็ไม่รู้เรื่องอื่นเลยเกี่ยวกับท่าน ฉันจึงลงมืออ่านหนังสือเล่มนี้
ลีกวนยู (Lee Kuan Yew) เป็นชาวสิงคโปร์โดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 16 กันยายน 1923 ศึกษา ณ.ที่ วิทยาลัย Raffles วิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดใน British Malaya 
ในช่วงอายุ 19 ปี ชีวิตในวัยเรียนของเขาต้องหยุดพักเนื่องจากการรุกรานและปกครองสิงคโปร์โดยประเทศญี่ปุน ในสงครามโลกครั้งที่ 2แต่เป็นการปลุกใจให้เขาหันมาสนใจทางด้านการเมืองตามประสาชาวเอเชียเพื่อต่อสู้เพื่ออิสรภาพ และการพ่ายแพ้อย่างง่ายดายของกองทัพอังกฤษต่อกองทัพญี่ปุ่น ทำให้ทำลายความเชื่อเรื่องการไม่สามารถเอาชนะคนขาวลงได้อย่างสิ้นเชิง
หลังสงคราม ลีกวนยู เดินทางไปศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัย Cambridge ที่ประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งเขาได้พบและแต่งงานกับภรรยาของเขา กวาก๊อกชู Kwa Geok Choo ที่มาเรียนกฎหมายที่ Cambridgeเช่นเดียวกัน และเป็นที่ซึ่งมีการนำเอาปัญหาความไม่พอใจในการปกครองอาณานิคมของอังกฤษต่อชาว Malayans มาพูดคุย โดยได้รับความเห็นอกเห็นใจและอยากให้อิสรภาพแก่อาณานิคมเหล่านั้นจากพรรค Labor Party ของอังกฤษ ทำให้เขาฝักใฝ่ในองค์กรณ์ Socialist และกระโจนเข้าหา Malayan Forum เพื่ออภิปรายตอบโต้กับประเทศอังกฤษในการเป็นอิสรภาพจากอาณานิคมของอังกฤษ
ที่อังกฤษนี้เองเป็นที่เขาซาบซึ้งถึงความเป็นศิริวิไลซ์ของมนุษย์ โดยตัวอย่างเล็กๆของร้านขายหนังสือพิมพ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้ขาย ผู้คนมาซื้อหนังสือพิมพ์จ่ายและหยิบทอนเงินทองกันเองโดยไม่มีการโกงหรือชักดาบ และไม่มีใครคิดขโมยเงิน ผู้คนรู้จักหน้าที่ของตนเอง
หลังจากเขากลับมาสิงคโปร์ในปี 1950 ในปี 1954 ลีกวนยู จัดตั้งพรรค People’s Action Party (PAP) และในปี 1955 เขาชนะการเลือกตั้งเป็นครั้งแรก จากนั้นในปี 1959 เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เมื่ออายุได้เพียง 35 ปี
ในปี 1961 ลีกวนยูพูดคุยกับตนกู อับตุล รามานย์ ในการรวมสิงคโปร์เข้ากับประเทศมาเลเซีย โดยเล็งเห็นว่า ประเทศสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติและปัจจัยที่เอื้อให้เติบโตเป็นประเทศที่สมบูรณ์ การรวมประเทศมาสำเร็จในปี 1962 หนึ่งปีผ่านมา
แต่แล้วอีก 3 ปีผ่านมาในปี 1965 ลีกวนยู ตัดสินใจนำสิงคโปร์แยกออกจากประเทศมาเลเซีย ทั้งน้ำตา เนื่องจากปัญหาเรื่องเชื้อชาติที่เป็นปัญหาใหญ่ของทั้งสองประเทศ เขาประกาศในวันที่ต้องแยกออกจากมาเลเซียว่า Singapore must survive
ตั้งแต่นั้นมา ลีกวนยู ได้สร้าง สิงคโปร์ ให้เป็น หนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ถึงแม้สิงคโปร์จะมีความยุ่งยากในทางเศรษฐกิจ แต่สิงคโปร์มีระบบสาธารณูปโภคที่ดีเนื่องจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษและเป็นแหล่งขนถ่ายสินค้า ลีกวนยู จึงใช้ศักยภาพทางด้านนี้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาประเทศ
                นี่แหละคือเมอร์ไลออนที่สง่าผ่าเผยที่สุด เขาสามารถเปลี่ยนประเทศจากที่ต้องพึ่งคนอื่นเป็นให้คนอื่นพึ่ง แม้ขาจะเล็กๆแต่ก็เป็นขาที่แข็งแรงที่สุดในอาเซียน หากไม่มีท่านก็คงไม่มีสิงค์โปร์ในวันนี้ ประวัติท่านเป็นที่น่าจดจำเอามากๆ คงจะดีหากมีคนนำไปทำเป็นภาพยนต์ และคงจะดีไม่น้อยหากนำท่านมาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต
                ฉันนึกถึงผู้นำคนอื่นๆในโลก ดร.ซุน ยัดเซน , อองซาน ซู จี , อับบราฮัม ลิคอร์น , และ เรียวมะ หากฉันมีเวลาพอจะพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับพวกเขาห้ได้มากที่สุด
                เขาต้องการพัฒนาประเทศและคนของเขา แต่ฉันรู้สึกว่าเรื่องราวของพวกเขาก็พัฒนาจิตใจของฉันไปด้วย
                ขณะที่ฉันนั่งลงกินขนมอยู่นั้น ฉันก็นึกถึงคำๆหนึ่งของ ลีกวนยู ที่กล่าวว่า  เขาเชื่อในเรื่องนำคนดีมาดำรงตำแหน่ง ถึงแม้ระบบจะไม่ดี หรือห่วยสุดๆ เพราะคนดี เมื่อมาดำรงอยู่ในตำแหน่งก็สามารถเปลี่ยนแปลงระบบที่ไม่ดีเป็นดีใด้
ฉันนึกภาพตอนที่ฉันสอบได้คะแนนดีๆ ตอบคำถามยากๆได้ แต่ไม่สามารถทำกิจกรรมกลุ่มให้ผ่านไปได้ด้วยดีได้ โดยที่ฉันเป็นผู้นำ แตกต่างจากกลุ่มอื่นๆที่แม้ว่าจะมีคนที่เรยนไม่เก่ง หรือตอนต้นๆทำได้คะแนนน้อยก็ตาม แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีกว่ากลุ่ม ฉันเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าทำไมตัวเองถึงทำกลุ่มไม่รอด
การวิเคราะห์ตัวเอง สิ่งที่ฉันยังขาดไป คือ
1)       ไม่แบ่งหน้าที่ งานกลุ่มส่วนใหญ่ที่ครูให้มาจะเป็นงานที่ค่อนข้างเยอะ และเวลาน้อย เพราะฉะนั้นเราต้องจัดแจงงานให้ทุกคนทำ และวางแผนไว้ให้ดี ตั้งแต่แรก
2)       พูดน้อย เพราะกลุ่มไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่มีหลายคน การสื่อสารจึงเป็นสิ่งหนึ่งในการทำงานกลุ่มหากสื่อสารไม่ดี กลุ่มก็จะล่ม หากสื่อสารดี กลุ่มก็จะไปต่อได้ เมื่อมีอะไรสงสัยจงรีบถาม มีอะไรอยากบอกจงรีบบอก
3)       ไม่เตรียมแผน Bไว้ เพราะทุกอย่างอาจไม่เป็นแบบที่เราคิดหรือคาดหวังเสมอไป แผนที่เรากำหนดไว้จึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้เลื่อยๆ เมื่อแผนAล้มเหลว เราก็เตรียมแผนBต่อได้ แผนการของเราไม่ควรกระด้าง แต่ต้องยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์ หากเราไม่มีแผนการณ์เลย เราก็ต้องใช้ไหวพริบของตนเองในการเปลี่ยนสถานเรียกว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
4)       ไม่เด็ดขาด อย่างที่บอกในข้อก่อนหน้านี้ว่า ไม่มีอะไรเป็นแบบที่เราคิดหรอคาดหวังเสมอ เราจึงเกิดความกังวล ลังเล ว่าจะทำดีไม่ทำดี ความเด็ดขาดคือการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะดำเนินการไปอย่างไร ก่อนที่จะตัดสินใจก็ควรคิดให้แน่ใจก่อน
5)       ควบคุมสมาชิกในกลุ่มได้ งานจะสำเร็จต้องอาศัยมือทุกมือช่วยกันทำ หากขาดมือบางมือไปงานบางอย่างอาจไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นเราต้องควบคุมคนทุกคนให้ทำงาน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง แม้บางคนจะเห็นว่ามันเผด็จการไปบางก็ตาม
6)       เครียดง่าย เพราะความลังเลจึงทำให้เราคืดไม่ออกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เราจึงเครียด เครียดจนไม่รู้จะแก้ปัญหายังไงดี หากเราไม่เครียด ไม่กังวล เราคงแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้
แม้จะมีวีรบุรุษคนเดียว แต่เขาก็ไม่ได้คว้าชัยชนะเพราะเขาคนเดียว หากมีประชาชนและทีมงานเป็นคนช่วย เพราะการทำงานกลุ่ม ไม่ได้แค่หัวหน้า แต่ยังมีสมาชิกเป็นกำลังสำคัญ
ดังนั้น งานกลุ่มจึงไม่ได้รับชัยชนะแต่เพียงผู้นำ แต่ชัยชนะยังตกอยู่ในมือทุกคนมืของทุกคน ทว่าไม่ผู้นำ ชัยชนะคงจะไม่ตกอยู่ในมือของใครเลย เพราะฉะนั้นผู้นำก็คือ ผู้ที่ไม่หวังผลตอบแทนส่วนตัว
หน้าที่ของผู้นำในงานกลุ่ม คงมิใช่การจับมือกันค่อยๆก้าวแบบต้องรอคนอื่นแล้วหล่ะ แต่คือ การจับมือคนอื่นแล้วก้าว[ไปด้าน]หน้าพร้อมๆกัน
ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า ผู้นำจะเป็นคนนำทางให้กลุ่มไปรอด กลุ่มจะไปรอดไม่รอดมิได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่หลงเหลืออยู่ แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่พัฒนาเพิ่มขึ้นต่างหาก
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ไม่ใช่การจมปรักอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่และต่อยอดสู่อนาคต โดยมีอดีตเป็นบทเรียน
หากโฮจิมินยังคงร้องไห้กับการที่เวียดนามโดนฝรั่งเศสยึด คงไม่มีเวียดนามในวันนี้ หากลีกวนยูยังร้องไห้กับการที่โดนแยกตัวออกจากมาเลเซีย ก็คงไม่มีสิงคโปร์ในวันนี้ หากดร.ซุนยังร้องไห้อยู่กับการที่โดนแปดชาติยึดแผ่นดินจีน ก็คงไม่มีประเทศจีนในวันนี้ เพราะน้ำตาไม่สามารถดับไฟได้ และยังชะล้างแผลเป็นในอดีตไม่ได้ด้วยซ้ำ
วันที่เขายังไม่ชนะคือวันที่เขาแพ้ วันก่อนหน้าที่เขายังไม่ชนะล้วนเป็นวันที่แพ้ทั้งสิ้น แม้วันที่ชนะจะมีเพียงวันเดียว แต่ชนะคือจุดหมายที่ยิ่งใหญ่เพราะเขามิได้ชนะเพื่อตัวเขาเองคนเดียว แต่เพื่อคนในชาติ ซึ่งผลแห่งชัยชนะนั้นมิได้สร้างประโยชน์สำหรับวันนี้เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย
แม้ว่าชัยชนะอาจจะรอเราให้เรามาหา แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เราควรรอให้ชัยชนะมาหาเรา เพราะการรอคอยชัยชนะช่างเชื่องช้ายิ่งนัก (หรืออาจมาไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ) ดังนั้นการที่เรารอชัยชนะ ก็คื อการทิ้งวันที่ผ่านมาให้พ่ายแพ้ไปโดยเปล่าประโยชน์
หากคุณเชื่อในอนาคต คุณจะชนะ หากคุณเชื่อในอดีต คุณจะพ่ายแพ้ แม้ว่าอดีตจะเป็นสวรรค์หรือนรกก็ตาม ส่วนปัจจุบันคือทางเลือกของคุณ ว่าคุณจะเชื่ออะไร ระหว่าง อดีต กับ อนาคต แม้ว่าทั้งสองจะแตกต่างกันเพียงเสี้ยววินาที ทว่ากำหนดผลแพ้ชนะได้ ขนาดทำให้ชาติหนึ่งยืนขึ้น ส่วนอีกชาติล้มลง
ส่วนฉันที่เป็นเด็กอายุ 12 ปี ที่ไม่สามารถจะเปลี่ยนประเทศได้เหมือนท่านผู้นั้น แต่จะขอเชื่อในอนาคตเหมือนท่านก็แล้วกัน แม้ว่าแต่ก่อนฉันจะเเป็นผู้นำที่ไม่ดี แต่ตอนนี้ความเชื่อของฉันอยู่ที่ปลายจมูกแล้วไม่ใช่หรือ แปลว่ามันคงไม่สายเกินที่จิตใจจะเป็นผู้นำชีวิตใหม่ต่อไปสินะ
โชคดีที่ฉันเจอพวกท่าน เพราะถ้าฉันไม่เจอ ฉันก็คงเป็นผู้ (นำ) ที่พ่ายแพ้ อย่างไม่มีวันลุกขึ้นได้ ….    แต่วันนี้ฉันลุกขึ้นมาแล้ว เพื่อตามหาชัยชนะที่ไม่ใช่ของฉันคนเดียว

อ้างอิง
หนังสือ : วีรบุรุษกู้ชาติ อาเซียน




วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

โดดยาง...สร้างชาติ???


โดดยาง...สร้างชาติ??
กระติ๊บ
“...อย่าทำลายฝัน  อย่าปิดกั้นไฟ
  เด็กมีหัวใจ ผู้ใหญ่ช่วยระวัง”
เพลงเด็กดั่งดวงดาว เพลงนี้เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แก่นของเพลงนี้ก็คือ “เด็กคืออนาคตของชาติ” แม้ว่าเพลงนี้จะถือกำเนิดขึ้นในยุคปัจจุบัน แต่ใจความหลักของเพลงนั้นมีตั้งแต่โบราณกาล ผู้เฒ่าผู้แก่นั้นได้สร้างความรู้และหลักการต่างๆ มากมาย บ้างสื่อออกมาเป็นเพลง บางสื่อออกมาเป็นนิทาน บ้างสื่ออยู่ในกิจวัตรประจำวัน  เรารวมเรียกว่า “ภูมิปัญญา”
                สำหรับการกระโดดยาง ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้าน ที่คนสมัยนี้อาจมองผู้ที่เล่นโดดยางว่าเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ไร้สาระ หารู้ไม่ว่าการกระโดดยางนั้นถือเป็น “ภูมิปัญญา” รูปแบบหนึ่ง หากแต่ไม่ได้สื่อออกมาเป็นข้อความหรือคำพูดเท่านั้น หากเราลองพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่า การละเล่นนี้แฝงอะไรไว้มากมาย
                การกระโดดยางต้องใช้ผู้เล่นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เริ่มจากการโอ-น้อย-ออก หาผู้เล่นผู้กระโดดและผู้จับเชือก โดยผู้กระโดดต้องกระโดดโดยที่ขาไม่โดนหรือไม่พันกับเชือก (ทั้งนี้แล้วแต่กติกา) ตั้งแต่ระดับตาตุ่ม หน้าแข้ง จนถึงหัว และมือชูเขย่ง
                การกระโดดยางถือเป็นภูมิปัญญา เพราะหากมองในด้านขนบธรรมเนียม การเล่นกระโดดยางเป็นการรักษาวัฒนธรรมไทยรูปแบบหนึ่ง แต่นี่เป็นเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น
                หากมองในด้านปฏิสัมพันธ์ในสังคม การละเล่นนี้จำเป็นต้องผู้เล่นหลายคน ทำให้ผู้เล่นได้รู้จักกัน และสนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อใครเล่นไม่คล่องก็จะช่วยกันสอน หากใครเล่นเก่งก็จะไปสอนเพื่อน การละเล่นนี้ถึงจะมีการแข่งขันกันสูง แต่ก็ทำให้เด็กๆ ไม่กลัวการแข่งขัน รู้แพ้ รู้ชนะ รู้ออภัย ขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันในการร้อยยางด้วย
                ความสนุกจากยางจะมีทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงจะเล่นกระโดดยาง ส่วนเด็กผู้ชายจะเล่นเป่ากบ เมื่อการเล่นเป่ากบขาดแคลนหนังยาง ผู้หญิงจะแบ่งยากจากที่โดดยางให้ เมื่อการเล่นหนังยางมีหนังยางสั้นเกินไป ผู้ชายก็จะแบ่งยางให้เช่นกัน ทำให้เกิดความมีน้ำใจ การให้เกียรติคนต่างเพศ และมิตรภาพระหว่างเพื่อน
                ส่วนในด้านความฉลาด หากใช้เทคนิคง่ายๆ ในขั้นแรกก็ดูจะไปได้ดี แต่ในขั้นสูงๆ ชักจะมีปัญหาหากยังใช้เทคนิควิธีเดียวกับขั้นแรกๆ ดังนั้น ผู้เล่นจึงต้องค้นหาเทคนิควิธีการด้วยตนเอง ให้ข้ามเชือกขั้นยากๆ ได้โดยง่าย
                นอกจากนี้ การกระโดดยางยังเป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยทำให้เด็กมีการเติบโตที่สมวัย มีน้ำหนักและรูปร่างที่ดี (มิฉะนั้นจะโดดไม่ขึ้น) ทั้งยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ อาทิ โรคภูมิแพ้ ด้วย
                รวมไปถึงในด้านสิ่งแวดล้อม แทนที่เด็กๆ ในอดีต จะต้องไปร้องขอของเล่นใหม่ที่ต้องใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือยในการผลิต เด็กๆ กลับนำของเหลือใช้ในบ้านเรือนของตนมาร้อยต่อกันเป็นเส้นยาว จึงเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างนิสัยประหยัดไปในตัว
                ไม่เพียงเท่านี้ การกระโดดยางทำให้เด็กผ่อนคลาย สมองจึงเกิดการพัฒนา ส่งผลให้เด็กสดใส ความจำดี พร้อมเรียนรู้ ไม่ก้าวร้าว และมีจิตนาการ
                ทว่าปัจจุบันการละเล่นกระโดดยางกลับไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เด็กๆ บางคนก็ต้องไปแอบเล่น บางคนเลิกเล่น และบางคนแทบไม่เคยเล่น เนื่องจาก 1) เวลาที่เด็กๆ ควรจะได้เล่นพักผ่อนกลับถูกนำไปใช้ในการเรียนและการทำการบ้าน 2) โรงเรียนมีสถานที่เล่นไม่เหมาะสม เพราะมีแต่พื้นปูน 3) เด็กถูกบังคับให้ใส่ประโปรง ซึ่งไม่สะดวกต่อการเล่น และ 4) เด็กๆ มีเทคโนโลยีเกมสมัยใหม่เข้ามาแย่งซีน
                เราอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยคือคำว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” ในความคิดของบางคน อาจเห็นว่าเรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ในความคิดของเด็กๆ เด็กต้องการทักษะชีวิตหลายๆ ด้านในการที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี รวมถึงการละเล่นที่เป็นประโยชน์เช่น การกระโดดยาง การปิดกั้นโอกาสในการเล่นของเด็ก ก็เป็นเสมือนการปิดกั้นจินตนาการและการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย ขณะเดียวกัน ก็เป็นปิดกั้นการสืบทอด “ภูมิปัญญา” ในอดีต และที่สำคัญที่สุดก็คือ การปิดกั้น “อนาคตของชาติ” ไปโดยไม่รู้ตัว