วริษา สุขกำเนิด (กระติ๊บ)
หากจะกล่าวถึงหนังสือแนวสยองขวัญที่ยอดนิยมในหมู่วัยรุ่นแล้ว
คงหนีไม่พ้นหนังสือเรื่อง “การิน ปริศนาคดีอาถรรพ์” ซึ่งเขียนโดย “อัยย์”
ดำเนินเรื่องโดย “การิน” เด็กหนุ่มผู้คลั่งไคล้ในศาสตร์มืด
เพื่อต้องการก้าวผ่านความเป็นมนุษย์ และ “ลัลธิมา” เด็กสาวผู้มีญาณอาถรรพ์ติดตัวมา แต่ปรารถนาเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีหลายแนวในเล่มเดียว ทั้งแฟนตาซี ระทึกขวัญ นักสืบ
และปรัชญา ผสมกับความการที่ทำให้ผู้อ่านรับรู้ถึงรสชาติแห่งความดำมืด
ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทยมาก จนกระทั่งถูกแปลเป็นภาษาอื่นๆ
สำหรับการิน
เรื่องผีและไสยศาสตร์จะเป็นสิ่งที่ขยายความถึงเด็กหนุ่มคนนี้ได้ดี
แต่หากมองในอีกแง่ เขากับกล่าวถึงความเป็นมนุษย์มากกว่า
และอาจอธิบายได้ชัดเจนกว่าด้วย
มนุษย์คืออะไร
จากการอ่านและวิเคราะเรื่องการินฯแล้วพบว่า
มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตบนโลก ที่ไม่ใช่พืช ไม่ใช่สัตว์ และไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอื่น
เพราะมนุษย์นั้นมีความคิด ความรู้สึก ความปราถนา มีจินตนาการ และบังคับตัวเองได้
วันที่มีมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกครั้งแรก
ผู้นั้นได้มองเห็นสิ่งที่อยู่บนโลก ภูเขา ดอกไม้ ต้นไม้ สัตว์ป่า และตัวเขาเอง
เขากินและขับถ่าย หายใจเข้าและหายใจออก เขาถ่ายให้ต้นไม้แล้วต้นไม้ก็ออกผลให้เขา
สัตว์ป่ากินพืชแล้วสัตว์อีกชนิดก็มากินกันเลื่อยๆ
น้ำในแม่น้ำระเหยเป็นไอแล้วตกลงมาเป็นฝน
นอกจากนี้เขายังเห็นต้นไม้ที่โตขึ้นแล้วค่อยๆตาย
สัตว์ที่ตัวเล็กๆก็ค่อยๆโตขึ้นแล้วก็ตาย รวมทั้งเขาเองที่เคยเป็นเด็กและคงตายในอีกไม่ช้า
ซึ่งเป็นข้อบังคับที่โยงใยเกี่ยวพันกันอย่าง
จนกระทั่งวันหนึ่งที่มีมนุษย์เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งคน
พวกเขาทำความรู้จัก แล้วรวมตัวกัน พวกเขาตั้งเป็นหมู่บ้าน
ตั้งผู้นำที่จะดูแลผู้คนทั้งหมด พวกเขาสร้างทางในการแก้ปัญหาต่างๆที่เรียกว่าภูมิปัญญา
พวกเขาแบ่งหน้าที่ของคนแต่ละคน มีครูที่ให้ความรู้ มีหมอที่รักษาโรค มีทหารจับตาดูข้าศึก มีเกษตรกรที่ผลิตอาหาร
พวกเขามีงาน ทำให้มีค่าตอบแทน จากการที่มนุษย์เคยอยู่คนเดียว ก็อยู่กันหลายๆคน
ทำให้รู้จักกัน ให้เกียรติกัน และ มีข้อพึงปฏิบัติร่วมกัน
เวลาผ่านไป
ผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับธรรมชาติว่า โลกขึ้นมาได้อย่างไร ลมเกิดจากอะไร
ดาวเกิดจากอะไร ทะเลเกิดจากอะไร พวกเขาใช้จินตนาการ สร้างเทพเจ้า
สร้างสัตว์ประหลาด สร้างวีรบุรุษ สร้างหญิงงาม จนเกิดเป็นตำนาน เนื่องจากมนุษย์ใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติ
ธรรมชาติจึงสำคัญกับชีวิตมนุษย์มาก และบางอย่างก็ส่งผลเสียต่อมนุษย์เช่นกัน
ทำให้เกิดความศรัทธาและเกรงกลัวต่อเทพเจ้า[ซึ่งก็คือธรรมชาตินั่นเอง]
มีการทำความเคารพ สร้างวิหาร เซ่นไหว้สังเวย และอื่นๆแต่ผู้คนมีความสงสัยอีกว่า
เราเกิดมาได้อย่างไร ทำไมเราต้องตาย ตายแล้วไปใหน ทำไมเราถึงมีทุกข์… จึงทำให้บางคนแสวงหาคำตอบเหล่านี้
นอกจากเขาจะหาคำตอบได้แล้วยังบอกแนวทางในการดำเนินชีวิต
และปรัชญาให้แก่ผู้คนมากมาย
จนกระทั่งมีผู้คนศรัทธาและตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มความเชื่อซึ่งมีจุดมุ่งหมายไปในทางเดียวกัน
ที่เรียกว่าศาสนาหรือลัทธินั่นเอง
มนุษย์มองโลกอย่างไร
เพราะผู้คนมีความรู้สึกรักใคร่และเกลียดชังในสิ่งต่างๆ
จึงปราถนาที่จะให้มันเป็นอย่างนั้นๆตามความต้องการของตนเอง
บางอย่างก็เป็นไปตามปราถนาได้ แต่บางคำปรารถนานั้นมิอาจเป็นไปไม่ได้ตามธรรมชาติ
ทำให้เขาเกิดความทุกข์ และ ความปรารถนามากกว่านั้น คือแหกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ จึงสร้างพิธีกรรม
การสาปแช่ง การลองของ การสร้างความทรมาน และอื่นๆ
เพื่อแรกเปลี่ยนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ความงาม ความรัก
ความทรมานและทุกๆอย่าง ที่ทำให้ความทุกข์หายไปแล้วความสุขมาแทนที่ ที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นแบบนี้
ซึ่งหากการกระทำนี้ไม่สำเร็จผลของการกระทำจะย้อนคืนอย่างมหาสาร
ในทางกลับกัน การรู้สึกรักใคร่หรือเกลียดชังจนเกิดความปรารถนาในการขัดต่อหลักธรรมชาติก็ไม่ใช่วิธีเดียวในการทำให้ความทุกข์หายไป
สภาวะหยุดนิ่งคือ สภาวะที่ไม่มีความรักใคร่เกลียดชัง สาเหตุของความปรารถนาและความทุกข์
ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความสุข และ ว่างเปล่า สภาวะนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
แต่จะเป็นเวลาสั้นๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จะสภาวะหยุดนิ่งมิได้สลายทุกข์ด้วยสร้างสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
แต่เป็นการสลายทุกข์ด้วยการเข้าสู่ธรรมชาติ
จากการอ่านและวิเคราะหนังสือเรื่องการินแล้ว
มนุษย์ไม่ได้มีโลกแค่คำว่าโลก แต่ยังมีโลกอีกใบหนึ่งที่ซ้อนกันอยู่บนโลกได้แก่
1. ธรรมชาติ
การดำเนินไปของสิ่งต่างๆเป็นโยงใยเชื่อมกัน และเป็นข้อบังคับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
2. สังคม
การรวมตัวของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการพึ่งพา ความรู้
วัฒนธรรม อาชีพ และข้อพึงปฏิบัติต่อกัน
3. ความเชื่อ
การตอบคำถามคำถามกับธรรมชาติ ความศรัทธา ความเกรงกลัว และหลักความคิด
4. อาถรรพ์และความชั่วร้าย
ความปรารถนาในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และพิธีกรรมที่แหกกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ
5. สภาวะหยุดนิ่ง
ความว่างเปล่า ไม่มีทุกข์สุข และความปราถนา
คำว่า “สีดำ” ของการินอาจจะไม่ได้หมายถึง
ความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงความไม่รู้ของมนุษย์ เพราะมนุษย์มีมากกว่าประสาทสัมผัส มีจิตใจ
ความคิด และจินตนาการ จึงทำให้สิ่งที่มนุษย์มองนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึก
หรือใส่ความรู้สึกลงไปในสิ่งที่เห็น ทั้งวัดได้ “ร้อน หนาว เสียงดัง ยาว” และวัดไม่ได้ “สวย น่ากลัว อร่อย” ดังนั้นโลกของมนุษย์จึงเป็นโลกที่มากกว่าสิ่งที่เห็น
จึงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งใดจิงสิ่งใดเท็จ
เราเคยตั้งคำถามไหมว่า
สิ่งที่เราเห็นมันเป็นสิ่งที่จริงหรือเปล่า
สิ่งที่เราได้ยินมันเป็นสิ่งที่จริงรึเปล่า สิ่งที่เราแตะมันคือสิ่งที่จริงรึเปล่า
เราแน่ใจรึเปล่าว่าโลกที่เราเดินอยู่ไม่ใช่โลกที่หัวเราสร้างขึ้น หรือโลกสมมติ
“ สิ่งใดๆที่เป็นใบบนโลกนี้
เป็นไปตามธรรมชาติหรือเพราะมนุษย์รับรู้ ”
แมวตัวหนึ่งถูกขังอยู่ในกล่องทึบและมันก็ร้องเหมียวๆอย่างน่าสงสาร
แต่ทว่าไม่มีใครได้ยินมันและในกล่องใบนี้เอง ก็บรรจุเครื่องมือโหดร้ายชนิดหนึ่งที่ประกอบไปด้วย โถแก้วบรรจุแก๊สพิษไซยานายที่ปิดจุกไว้หนึ่งใบ
บนโถแก้วใบนี้มีค้อนที่ตั้งรออยู่ ซึ่งค้อนมีกลไกที่มีโอกาสทำให้ขวดยาพิษแตก50% แล้วยาพิษจะระเหยออกมาให้แมวดม แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่าแมวตายรึยังหากไม่เปิดออกมาดู
อย่างที่กล่าวไว้ว่า
“
สิ่งใดๆที่เป็นใบบนโลกนี้ เป็นไปตามธรรมชาติหรือเพราะมนุษย์รับรู้ ”หากเป็นไปเพราะมนุษย์รับรู้
แสดงว่าสิ่งที่มนุษย์รับรู้คือสิ่งที่อยู่บนโลก
สิ่งที่มนุษย์รู้ก็ยังไม่มีบนโลก ใช่หรือไม่ ก็เหมือนคำถามที่ตั้งไว้ “เราแน่ใจรึเปล่าว่าโลกที่เราเดินอยู่ไม่ใช่โลกที่หัวเราสร้างขึ้น
หรือโลกสมมติ”
แม้การินจะเป็นนิยายที่เป็นแนวแฟนตาซีสยองขวัญ
ทว่ามันก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น เพราะการินเล่มนี้
ต้องการสื่อถึงมุมมองมิติต่างๆของมนุษย์ และโลกของมนุษย์
ในสิ่งที่เราเองอาจจะยังไม่เคยรับรู้ ทั้งที่จิตใจเรารู้ดี และยังทำให้เรารู้ว่า
สิ่งที่เป็นขึ้นอยู่กับสิ่งที่มอง
เราจะมองเห็นอะไร มันก็ขึ้นอยู่กับว่า "พวกเขา" ต้องการให้เราได้เห็นอะไร มนุษย์เราต่ำต้อยเกินกว่าจะเลือกได้ว่าเราอยากเห็นโลกในมุมมองแบบไหน
ตอบลบ