วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

โดดยาง...สร้างชาติ???


โดดยาง...สร้างชาติ??
กระติ๊บ
“...อย่าทำลายฝัน  อย่าปิดกั้นไฟ
  เด็กมีหัวใจ ผู้ใหญ่ช่วยระวัง”
เพลงเด็กดั่งดวงดาว เพลงนี้เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยิน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ แก่นของเพลงนี้ก็คือ “เด็กคืออนาคตของชาติ” แม้ว่าเพลงนี้จะถือกำเนิดขึ้นในยุคปัจจุบัน แต่ใจความหลักของเพลงนั้นมีตั้งแต่โบราณกาล ผู้เฒ่าผู้แก่นั้นได้สร้างความรู้และหลักการต่างๆ มากมาย บ้างสื่อออกมาเป็นเพลง บางสื่อออกมาเป็นนิทาน บ้างสื่ออยู่ในกิจวัตรประจำวัน  เรารวมเรียกว่า “ภูมิปัญญา”
                สำหรับการกระโดดยาง ซึ่งเป็นการละเล่นพื้นบ้าน ที่คนสมัยนี้อาจมองผู้ที่เล่นโดดยางว่าเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ไร้สาระ หารู้ไม่ว่าการกระโดดยางนั้นถือเป็น “ภูมิปัญญา” รูปแบบหนึ่ง หากแต่ไม่ได้สื่อออกมาเป็นข้อความหรือคำพูดเท่านั้น หากเราลองพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่า การละเล่นนี้แฝงอะไรไว้มากมาย
                การกระโดดยางต้องใช้ผู้เล่นตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เริ่มจากการโอ-น้อย-ออก หาผู้เล่นผู้กระโดดและผู้จับเชือก โดยผู้กระโดดต้องกระโดดโดยที่ขาไม่โดนหรือไม่พันกับเชือก (ทั้งนี้แล้วแต่กติกา) ตั้งแต่ระดับตาตุ่ม หน้าแข้ง จนถึงหัว และมือชูเขย่ง
                การกระโดดยางถือเป็นภูมิปัญญา เพราะหากมองในด้านขนบธรรมเนียม การเล่นกระโดดยางเป็นการรักษาวัฒนธรรมไทยรูปแบบหนึ่ง แต่นี่เป็นเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น
                หากมองในด้านปฏิสัมพันธ์ในสังคม การละเล่นนี้จำเป็นต้องผู้เล่นหลายคน ทำให้ผู้เล่นได้รู้จักกัน และสนิทสนมกันมากขึ้น เมื่อใครเล่นไม่คล่องก็จะช่วยกันสอน หากใครเล่นเก่งก็จะไปสอนเพื่อน การละเล่นนี้ถึงจะมีการแข่งขันกันสูง แต่ก็ทำให้เด็กๆ ไม่กลัวการแข่งขัน รู้แพ้ รู้ชนะ รู้ออภัย ขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันในการร้อยยางด้วย
                ความสนุกจากยางจะมีทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงจะเล่นกระโดดยาง ส่วนเด็กผู้ชายจะเล่นเป่ากบ เมื่อการเล่นเป่ากบขาดแคลนหนังยาง ผู้หญิงจะแบ่งยากจากที่โดดยางให้ เมื่อการเล่นหนังยางมีหนังยางสั้นเกินไป ผู้ชายก็จะแบ่งยางให้เช่นกัน ทำให้เกิดความมีน้ำใจ การให้เกียรติคนต่างเพศ และมิตรภาพระหว่างเพื่อน
                ส่วนในด้านความฉลาด หากใช้เทคนิคง่ายๆ ในขั้นแรกก็ดูจะไปได้ดี แต่ในขั้นสูงๆ ชักจะมีปัญหาหากยังใช้เทคนิควิธีเดียวกับขั้นแรกๆ ดังนั้น ผู้เล่นจึงต้องค้นหาเทคนิควิธีการด้วยตนเอง ให้ข้ามเชือกขั้นยากๆ ได้โดยง่าย
                นอกจากนี้ การกระโดดยางยังเป็นผลดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยทำให้เด็กมีการเติบโตที่สมวัย มีน้ำหนักและรูปร่างที่ดี (มิฉะนั้นจะโดดไม่ขึ้น) ทั้งยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ อาทิ โรคภูมิแพ้ ด้วย
                รวมไปถึงในด้านสิ่งแวดล้อม แทนที่เด็กๆ ในอดีต จะต้องไปร้องขอของเล่นใหม่ที่ต้องใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือยในการผลิต เด็กๆ กลับนำของเหลือใช้ในบ้านเรือนของตนมาร้อยต่อกันเป็นเส้นยาว จึงเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อม และสร้างนิสัยประหยัดไปในตัว
                ไม่เพียงเท่านี้ การกระโดดยางทำให้เด็กผ่อนคลาย สมองจึงเกิดการพัฒนา ส่งผลให้เด็กสดใส ความจำดี พร้อมเรียนรู้ ไม่ก้าวร้าว และมีจิตนาการ
                ทว่าปัจจุบันการละเล่นกระโดดยางกลับไม่เป็นที่แพร่หลายนัก เด็กๆ บางคนก็ต้องไปแอบเล่น บางคนเลิกเล่น และบางคนแทบไม่เคยเล่น เนื่องจาก 1) เวลาที่เด็กๆ ควรจะได้เล่นพักผ่อนกลับถูกนำไปใช้ในการเรียนและการทำการบ้าน 2) โรงเรียนมีสถานที่เล่นไม่เหมาะสม เพราะมีแต่พื้นปูน 3) เด็กถูกบังคับให้ใส่ประโปรง ซึ่งไม่สะดวกต่อการเล่น และ 4) เด็กๆ มีเทคโนโลยีเกมสมัยใหม่เข้ามาแย่งซีน
                เราอาจจะคิดว่านี่เป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่สิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลยคือคำว่า “เด็กคืออนาคตของชาติ” ในความคิดของบางคน อาจเห็นว่าเรื่องเรียนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ในความคิดของเด็กๆ เด็กต้องการทักษะชีวิตหลายๆ ด้านในการที่จะเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี รวมถึงการละเล่นที่เป็นประโยชน์เช่น การกระโดดยาง การปิดกั้นโอกาสในการเล่นของเด็ก ก็เป็นเสมือนการปิดกั้นจินตนาการและการพัฒนาศักยภาพของเด็กไทย ขณะเดียวกัน ก็เป็นปิดกั้นการสืบทอด “ภูมิปัญญา” ในอดีต และที่สำคัญที่สุดก็คือ การปิดกั้น “อนาคตของชาติ” ไปโดยไม่รู้ตัว        
    

1 ความคิดเห็น:

  1. น้าจุสัญญาว่าจะไม่ห้ามเด็กๆ เล่นกระโดดยาง และจะสนันสนุนด้วยการเล่นด้วยอีกคน เป็นตัวแถมก็ได้นะ

    ตอบลบ